กรุณาระบุคำค้นหาที่ท่านต้องการ

09 กันยายน 2565
ผู้เข้าชม 5,948 คน
เรียนรู้ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท

        หลักของการทำงานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสั่งสอนพวกเราอยู่ตลอด เวลานั้นก็คือ หลักของการประสานงานประสานสัมพันธ์เพื่อระดมพละกำลังต่างๆที่มีอยู่แต่ละจุด แต่ละองค์กรเข้ามารวมประสานสัมพันธ์เพื่อให้เกิดพลังขึ้น

        พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุยเดชมหาราช  เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2470  ณ เมืองเคมบริดจ์   รัฐแมสซาชูเลตต์ ประเทศสหรัฐอเมริกา  สมเด็จพระราชชนนีฯ ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระ นามจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ได้พระราชทานพระนามว่า “พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช” ซึ่งคำว่า “ภูมิพล” แปลว่า “กำลังของแผ่นดิน”

  • ทรงศึกษา ณ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
  • 9 มิถุนายน พุทธศักราช 2489 เสด็จเถลิงราช สมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ โดยมีพระปฐมบรมราช โองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อ ประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
  • พระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับหม่อมราชวงศ์  สิริกิติ์ กิติยากร  ณ พระตำหนักสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า  ในวังสระปทุม ในวันที่ 28 เมษายน 2493
  • ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดา 4 พระองค์ คือ
    • สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี  ประสูติ เมื่อวันที่ 4 เมษายน  พุทธศักราช 2494
    • สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณสยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พุทธศักราช 2495
    • สมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 2 เมษายน พุทธศักราช 2498
    • สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประสูติ เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พุทธศักราช 2500
พระมหากรุณาธิคุณต่อแผ่นดินและประชาชน

พระราชดำรัส :

ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการมูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด :
        “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ขึ้น ครองราชย์มาเป็นปีที่ 63 แล้ว ถือว่าเป็น พระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดใน โลก ลองคิดดูว่าตลอดระยะเวลาที่ทรง ครองราชย์อยู่นั้น ทรงทำราชการมาในลักษณะที่ยืนยาวกว่าผู้ใดในแผ่นดินนี้ก็ว่าได้ เพราะ ข้าราชการนั้นจะมีอายุราชการอย่างมากที่สุดก็ประมาณ 40 ปี จึงเห็นได้ว่าทุกข์สุขของราษฏร์นั้น ทรงแบกไว้ทั้งสิ้นขอใช้คำสามัญอย่างนั้นเพราะไม่ว่าความทุกข์ของประชาราษฏร์ จะอยู่ที่ไหน พระองค์จะเข้าไปพระราชทานความช่วยเหลือดึงเอาประชาชนให้พ้นจากทุกข์นั้นอยู่ ตลอดเวลา หลักฐานที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในขณะนี้ก็คือ มีโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเกิดขึ้นระหว่างที่ทรงครองราชย์อยู่นั้น เป็นจำนวนกว่า 3,000 โครงการ ที่ครอบคลุมถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับความทุกข์และความสุขของ ประชาชนทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงเป็นแบบอย่างให้กับพสกนิกรโดย เฉพาะข้าราชการที่เห็นเป็นรูปธรรม สมควรที่จะเดินทางตามรอยยุคลบาท”

พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร อดีตนายตำรวจราชสำนักประจำ
        “ความ ไม่ถือพระองค์เมื่อเสด็จไปอยู่ท่ามกลางประชาชน โดยเฉพาะเมื่อเสด็จเป็นการส่วนพระองค์ และโดยเหตุว่าผมตามเสด็จใกล้กว่า เขาอย่างที่ผมไม่เคยนึกมาก่อนและไม่เคยคิดว่า จะได้เห็นพระเจ้าแผ่นดินประเทศไทยทำกันเราเกือบจะลืมกันไปว่าเรามีหน้าที่ในเรื่องการถวายความปลอดดภัย เพราะความใกล้ชิดกับประชาชนของพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้เวลาตามสบายไม่เร่งร้อน ทรงฟังปัญหาความทุกข์ของประชาชนอีกเรื่องที่ประทับใจผมอย่างยิ่งก็คือความเสียสละพระองค์ซึ่งไม่มีเงื่อนไข โดยเฉพาะในเวลามีวิกฤตการณ์นั้นพระเจ้าอยู่หัวจะไม่ได้ทรงพักผ่อนไม่ได้บรรทม ทรงใช้เวลาไปเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาเท่านั้น เพราะฉะนั้นวิกฤตการณ์ต่างๆเวลาเกิดขึ้นจึงคลี่คลายไปได้โดยรวดเร็ว ถ้าเผื่อว่าผู้ที่ได้ตระหนักในพระมหากรุณาธิคุณจะได้ไม่ใช่เพียงแซ่ซ้องสรรเสริญหรือดีอกดีใจกันเฉย ๆ แต่ควรปฎิบัติตนตามรอยพระยุคลบาท ผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์แก่บ้านแก่เมืองเป็นอย่างมาก”

พระราชกระแสรับสั่ง :

        “...ฉันถือว่าฉันเป็นพลเมืองคนหนึ่ง ซึ่งมีตำแหน่งนี้ ตราบนั้นฉันต้องปฎิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้สมบูรณ์…”

        พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชทรงรับคำกราบบังคมทูลพระกรุณา อัญเชิญให้ขึ้นครองสิริราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อพระชนมพรรษาเพียง 19 พรรษา หากแต่ด้วยทรงรู้สึกว่า เมื่อประชาชนได้เลือกพระองค์เป็นพระประมุขของชาติก็ต้องทรงมีหน้าที่ตอบแทนความไว้วางใจของประชาชนด้วยการอุทิศเวลาพระวรกายพระสติปัญญาและพระราชทรัพย์ บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้แก่พสกนิกร ทรงอภิบาลประชาชนด้วยพระอัจฉริยะอุตสาหะทั้งมวลสมดังพระราชโองการที่พระราช ทานอารักขาประชาชนของพระองค์เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม  2493 ว่า

        “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”


“นั่นคือดวงแสงใดในแผ่นดิน
 รังสรรค์ราวศิลป์อยู่เรียงสาย
 นั่นคือเทียนใดอยู่ทอดราย
 โชติฉายทิ้งช่วงอยู่แช่มช้า

 นั่นคือริ้วขบวนใดในแผ่นดิน
 จึงหยาดรินแรงโสมมนัสา
 นั่นคือแววใดจึงปรีดา
 แต่งแต้มดวงตาอยู่ตื้นตัน”

“...ในโอกาสพิเศษนี้ข้าพเจ้าจึงใคร่ขอให้ท่านทั้งหลาย ใน สมาคมนี้ตลอดจนประชาชนชาวไทยทั่วหน้าได้ตั้ง ความคิดจิตใจแน่วแน่ หนักแน่นอยู่ในความสัตย์ สุจริต  และความขยันหมั่นเพียรที่จะกำจัดความเสื่อมให้หมด ไป และระวังไม่ให้เกิดใหม่อย่างหหนึ่งกับความเพียรที่ จะสร้างสรรค์ความดีความ เจริญให้เกิดขึ้น และระวัง รักษามิให้เสื่อมสิ้นไป…”

“นั่นคือริ้วขวบนแห่งแรงจงรัก แน่นหนักมิรู้สิ้นที่สืบสาน
  นั่นคือแววตาจรัสชัชวาล เพื่อทอดมองภูบาลด้วยบูชา
  นั่นคือเสียงซึ่งเปล่งเพลงพรศรี คำกวีก็แว่วไหลโดยสายภาษา
  สีเหลืองคือดอกไม้ในแววตา” แย้มบาน ณ กาญจนาภิเษกกาล


คำประพันธ์ : อดุล  จันทรศักดิ์

        

พระราชดำรัสการประชุมแก้ไขวิกฤตการณ์  ปัญหาน้ำท่วม  เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2538

        “...เราต้องช่วยเดี๋ยวนี้ไม่ใช่ช่วยทีหลัง ตอนนี้ผู้ที่มาประชุมนี้ก็สนใจในเรื่องจะช่วยเดี๋ยวนี้  และถ้าช่วยเดี๋ยวนี้ไม่ต้องเสียงบประมาณตั้งกี่หมื่นล้าน...”

        วันนั้นที่ป่ายางฝนตกพรำจากเช้าจนบ่าย ความ หนาวเย็นเจาะลึกซอกซอนและซ่อนตัว เสด็จ พระราชดำเนินด้วยพระบาทเข้าไปในป่ายาง ท่ามกลางฝนตกหนัก มีสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯตามรอยเบื้องพระยุคลบาทเป็น ระยะทางถึง 2 กิโลเมตรเศษ เพื่อพิจารณาพื้นที่สร้างอ่างเก็บน้ำให้ชาวบ้านบนพื้นที่ 5,000 ไร่ ในเขต 3 ตำบล นี่คือสิ่งที่มิใช่สามัญธรรมดา  ในความรู้สึกของผู้คนและไม่ ธรรมดามากเป็นทวีคูณ เพราะนี่คือ ดงทาก  คือ รังทากที่ชุกชุมที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้  เกือบทุกคนที่ตามเสด็จ โชกโชนและโชก เลือดไม่เว้นแม้ทั้งสองพระองค์ ค่ำนั้นระหว่าง เสด็จ พระราชดำเนินกลับทรงหยุดรถพระที่ นั่งอยู่ หลายนาที หลายคนในขบวนไม่ทราบสาเหตุ ทรงหยุดรถพระที่นั่งเพื่อรับสั่งให้สมเด็จพระเทพฯ ช่วยจับทากที่ตัวเป่งด้วยพระโลหิตออกจากพระวรกาย

พระราชดำรัสเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2538

        “...ภาษาอังกฤษพูดว่า อา อะ ลอส คือ สิ่งที่เรา เสีย อีส คือ เป็นอาอะเกน คือ กำไรของเรา  อาอะลอส คือ ความเสียหายของเรากลายเป็น กำไรของเราต้องทำตามมติ คติพจน์ของ สำนักงาน ฝล. ก็สามารถที่จะทำอันนี้ได้ แต่ถ้า ถือว่า อาอะลอสอีสอาอะลอส คือ ไม่ยอมเสีย เงินก็ทำอย่างนี้ไม่ได้ ต้องยอมเสียเงิน แต่ในที่สุดก็กลายเป็นกำไรของเราเพราะว่าที่นี่คนพวกนี้ เขาเคยร่วมมือจัดทำโครงการนี้ได้ราคาถูกและพวกประชาชนพวกที่อยู่ที่นี่ก็จะได้กำไรเหมือนกันราชการก็ได้กำไร…”

        ด้วยจุดยืนและหลักการที่มั่นคงแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดชมหาราชในการให้การเสียสละ การขาดทุนอันมีผลเป็นกำไรได้กลายเป็นตำนานแห่งการ พระราชทานพระมหา กรุณาธิคุณแก่ข้าแผ่นดิน  ตำนานแห่งการให้นับเป็นหลักการสำคัญ ในการปฏิบัติราชการดังพระบรมราโชวาทที่ว่า  “...การทำงานด้วย ความบริสุทธิ์ใจมิได้มุ่งหมายหากินด้วยวิธี ใด ๆ ใครอยากหากินขอให้ลาออกจาก ตำแหน่งไปทำการค้าขายดีกว่า...” เรียนรู้ได้ว่าคนทำงานเพื่อประชาชนต้องรู้จักการให้  มากกว่าที่จะหวังผล รับ รวมทั้งต้องยึดหลักที่ได้พระราชทานไว้อย่างลึกซึ้งใความหมาย  “รู้รักสามัคคี” รู้  ตรงกับความหมายในเชิง พุทธ คือคำว่า “ปัญญา” รัก ตรงกับคำพระ  คือ เมตตา สามัคคี การทำงานอย่างสอด ประสานความสัมพันธ์ รู้รัก สามัคคี และการให้ จึงกลายเป็นตำนานกลายเป็นหลักการกลายเป็นแบบอย่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานเพื่องานบริการประชาชน พลตรี ม.ร.ว. คึกฤทธิ์  ปราโมชได้เคยเขียนถึงเคล็ดวิธีในการทรงงานเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้ว่า “ได้ทรง ใช้ความรักของราษฎรเป็นเนื้อนา ทรงใช้พระปัญญาคุณเป็นแอกไถทรงใช้พระมหากรุณาธิคุณเป็นเมล็ดพืชและทรงใช้พระเสโทที่หลั่งไหลออกมาเพราะ ความเหน็ดเหนื่อยพระวรกายนั้นเป็นสายธารที่หล่อเลี้ยงพื้นที่ดินให้มีความอุดม”

คำประพันธ์

ฝนแล้งก็ต้องขอฝนหลวง
น้ำท่วมก็ต้องเสด็จไปแก้ไข
ป่าไม้ก็ต้องทรงปลูก
ลูกเจ็บก็ต้องแพทย์หลวงรักษา
กุ้งปลาก็ต้องทรงปล่อย
เลิกฝิ่นบนดอยก็ต้องทรงช่วยเขาทำกิน
ปฏิรูปที่ดินก็ไม่พ้นพระราชภาระ
ทุกเรื่องที่จะทำให้ราษฎรร่มเย็น

ธ คือบุญของแผ่นดินประดับด้าว  ด้วยเรื่องราวแห่งมหาภารกิจ
ทุกภาพที่ทรงงาน คือการอุทิศ    ด้วยทศพิธราชธรรม ด้วยน้ำพระทัย

พระราชนิพนธ์ “เดินตามรอยเท้าพ่อ” ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี

        พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เสด็จพระราชสมภพมาเพื่อประชาชนโดยแท้ ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงงานหนักยิ่งกว่าข้าแผ่นดินคนใด แม้พระองค์ทรงสถิตอยู่ในฐานะสูงสุด ทรงสมบูรณ์ทุกสิ่งเพื่อประชาชน ไม่ว่าจะเป็นพระราชทรัพย์ พระวรกาย พระสติปัญญา ทรงเป็นนักคิดที่เป็นอัจฉริยภาพสูงส่งใช้ทั้งศาสตร์การปกครองทางการเมือง และทรงเป็นนักปฎิบัติที่ยิ่งใหญ่ ทรงเป็นแบบอย่างในการทำราชการ เพื่องานบริการประชาชน

พระราชนิพนธ์ “เดินตามรอยเท้าพ่อ” ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี

        ด้วยจิตสำนึกที่จะทำงานตามรอยยุคลบาท เพื่อการให้บริการประชาชนพวกเราจึงน้อมนำวิธีคิด วิธีปฎิบัติแห่งพระผู้ทรงเป็นต้นแบบงานบริการประชาชนมาปฎิบัติงานรับราชการด้วย ความเพียรที่เต็มความสามารถ เพื่อเป็นราชสักการะราชสดุดีและเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช


“...ฉัน เดินตามรอยเท้าอันรวดเร็วของพ่อโดย ไม่หยุด ผ่านเข้าไปในป่าใหญ่น่ากลัว ทึบ แผ่ ไปโดยไม่สิ้นสุด มืดและกว้าง มีต้นไม้ใหญ่ๆ เหมือนหอคอยที่เข้มแข็ง พ่อจ๋า...ลูกหิวจะตาย อยู่แล้วและเหนื่อยด้วย..”

“เพื่อมนุษยชาติจงอย่าละความกล้าเมื่อเผชิญกับ ความทุกข์ให้อดทนและสุขุมและจงมี ความสุข ที่ได้ยึดอุดมการณ์ที่มีค่า ไปเถิดถ้าเจ้าต้องการ เดินตามรอยเท้าพ่อ”

“พระทูลกระหม่อมแก้ว
ครองแผ่นดินโดยธรรมเป็นตำนาน
ครบหกสิบปีแล้วที่กรำกร้าน
ด้วยมหาบุญญาธิการพระจักรี”


ตามรอยพระยุคลบาทยาตรา

        พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ ทรงอุทิศพระองค์เองเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนอย่างต่อเนื่องมากว่า 60 ปี รวมทั้งจากการทำงานหนักของข้าราชการที่ได้เรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาท ประเทศไทยจึงสามารถฟันฝ่าวิกฤตรักษาเอกราชและพัฒนาประเทศสืบเนื่องมาจนถึง ปัจจุบัน ดังนั้นการสร้างโครงการให้ข้าราชการทั้งหลายได้เรียนรู้เพื่อเป็นข้าราชการ ที่ดี จึงเกิดเป็นโครงการเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาทขึ้นเพื่อให้ข้าราชการเข้าใจ อย่างถ่องแท้ในพระบรมราโชวาทแก่ข้าราชการพลเรือนตั้งแต่ปี 2524 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันและน้อมนำใส่เกล้าฯ มาเป็นหลักมุ่งมั่นปฎิบัติหน้าที่ด้วยหัวใจที่รักประชาชนเพื่อประโยชน์สุข ของประชาชนชาวไทย  “สำนักงาน ก.พ. ในสมัยนั้นได้ปรึกษากับเลขาธิการพระราชวังราชเลขาธิการ เลขาธิการ กปร. และผู้ทรงคุณวุฒิอีก  หลายท่านได้มีความเห็นร่วมกันว่าในช่วงที่ประเทศชาติกำลังเกิดวิกฤติเช่นนี้ ควรมีการกระตุ้นส่งเสริมให้ข้าราชการเกิดความตระหนักในการปฎิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เสียสละ และอดทน เพื่อถวายเป็นราชสักการะและเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2542 ดังนั้นจึงได้จัดตั้งโครงการเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาทขึ้น โดยได้เชิญพระบรมราโชวาทที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานให้แก่ข้าราชการพลเรือน เป็นประจำทุกปีตั้งแต่ในวันที่ 1 เมษายน 2524 เป็นต้นมา เพื่อที่จะให้ข้าราชการทั้งหลายได้เรียนรู้และน้อมนำพระบบรมราโชวาทนั้นเป็นหลักในการทำงานเพื่อมุ่งมั่นปฎิบัติหน้าที่ของเขาให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ และประชาชนสืบไป

        โครงการการเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาทนี้เป็นโครงการเฉลิมพระ เกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระ ชนมพรรษาครบ 6 รอบในวันที่ 5 ธันวาคม 2542 และเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2542 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้เป็นโครงการสำคัญของรัฐบาลและให้ทุกกระทรวง ทบวง กรมเข้าร่วมโครงการ โดยสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนร่วมกับสำนักคณะกรรมการพิเศษ เพื่อประสานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและสำนักงบประมาณดูแลให้เกิดผลในทางปฎิบัติดังนี้ คือ

  1. ให้ทุกกระทรวงและส่วนราชการในสังกัด จัดฝึกอบรมข้าราชการ ตามหลักสูตรการเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาท 
  2. เพื่อเป็นข้าราชการที่ดีให้บรรจุหลักสูตรการเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาทนี้ไว้ในหลักสูตรการฝึกอบรมและพัฒนาข้าราชการทุกระดับ
  3.  ให้มีการทดสอบเรื่องข้าราชการที่ดีตามรอยพระยุคลบาทในการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุ บุคคลเข้ารับราชการ และการสอบคัดเลือกเพื่อเลื่อนตำแหน่งข้าราชการ
  4. ให้มีการประเมินเรื่องการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชนตามรอยพระยุคลบาทในการเลื่อนประจำปี และการเลื่อนตำแหน่ง
  5. ให้กระทรวงศึกษาธิการ  ทบวงมหาวิทยาลัยและสำนักงาน ก.พ. จัดทำหลักสูตรการเรียนการสอน เพื่อปลุกจิตสำนึก ทัศนคติ และพฤติกรรมที่ดีไว้ก่อนที่บุคคลจะเข้ารับราชการ
  6. ให้สำนึกงบประมาณให้การสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานในโครงการเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาทอย่างต่อเนื่อง
  7. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นำเรื่องการเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาท ไปพิจารณาบรรจุเข้าไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
  8. ให้ กระทรวง ทบวง กรมประสานงานกับสำนักงาน ก.พ. ดำเนินการโครงการและประมวลผลเสนอไปยังคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระ เกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒ ต่อไป

        การดำเนินงานของโครงการเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาทอยู่มีความพร้อมที่จะสนับสนุนการจัดอบรมของทุกส่วนราชการ กล่าวคือ

        ประการแรก ได้ดำเนินจัดทำเป็นหลักสูตรการเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาท 4 วิชาที่ต่อเนื่องและเชื่อมโยงกัน คือ การเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาท การเป็นข้าราชการที่รักประชาชน การสร้างความดีแก่สังคม และการร่วมสร้างพลังของแผ่นดิน โดยสำนักงาน ก.พ. จะสนับสนุนชุดฝึกอบรมแผนการสอน วีดีทัศน์และสื่อต่าง ๆ ประกอบ

        ประการที่สอง ได้อบรมวิทยากรของโครงการจากทุกกระทรวง ทบวง กรมเพื่อนำหลักสูตรนี้ไปเผยแพร่แก่ข้าราชการในหน่วยงานของตนต่อไป

        ประการที่สาม ในส่วนของสำนักงาน ก.พ. ได้จัดอบรมข้าราชการในสังกัดทุกคนภายในปี ๒๕๔๒

        ประการที่สี่ ในส่วนราชการต่างๆ เริ่มมีการจัดอบรมข้าราชการในสังกัดตามหลักสูตรโครงการ
และ ประการที่ห้า  คณะกรรมการบริหารโครงการเรียนรู้ตามรออยพระยุคลบาทโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็น ประธาน และปลัดกระทรวงทุกท่านเป็นกรรมการเพื่อให้การสนับสนุนโครงการอย่างเต็มที่

คุณทูนใจ ศรีวังพล  ผู้หนึ่งที่ได้สะท้อนการเรียนรู้

        “ตลอด เวลา ในหลวงเราทรงงานตลอด พระองค์มีอะไรมากมายที่เราได้ศึกษาพระบรมราโชวาท ที่ดิฉันได้รับมาจากสำนักงาน ก.พ. เป็นประมวลพระบรมราโชวาทตั้งแต่ปี ๒๕๒๔ เป็นต้นมาเนื่องในวันข้าราชการพลเรือน ซึ่งทุกองค์ทรงสอนอะไรไว้มากมาย เราเรียนรู้จากกตรงนี้ได้มากเลย เพราะฉะนั้นโครงการนี้น่าจะเผยแพร่ออกไปให้ทุกคนได้เรียนรู้อย่างที่ดิฉัน ได้เรียนบ้าง”

คุณชัยรัตน์ พรหมบุปผา

        “ในฐานะ ที่ผมเองได้มีโอกาสเข้าไปร่วมรับการฝึกอบรมเพื่อเป็นวิทยากรในการเรียนรู้ ตามรอยพระยุคลบาทนั้น ผมได้เรียนรู้ว่า เมื่อเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราก็ควรจะทำหน้าที่หรือปฏิบัติธรรมของการให้บริการประชาชน เพื่อการบำบัดทุกข์บำรุงสุขนั้น บนธรรมแห่งการให้เช่นกัน ธรรมแห่งการให้เพื่อให้เกิดการบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาชนโดยพร้อมเพรียง กัน ขอเชิญชวนเพื่อนข้าราชการร่วมใจกันเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาท เพื่อยึดถือเป็นแนวทางประพฤติปฏิบัติและทำงานเพื่อประชาชน สังคม และประเทศชาติสืบไป”

พระรมราโชวาทที่พระราชทานแก่ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๙

        “…การ ยึดมั่นในผลประโยชน์ของแผ่นดิน และความถูกต้องเป็นธรรมเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการปฎิบัติหน้าที่ของข้าราชการ เพราะการยึดมั่นดังกล่าวจะทำให้มีจิตใจมั่นคง เด็ดเดี่ยวในอันที่จะปฏิบัติหน้าที่ให้จนบรรลุผลสำเร็จและสามารถป้องกันความ ผิดพลาดเสียหายอันจะเกิดแก่ตนแก่งานได้อย่างแท้จริง...”

บุญของคนไทยที่มีในหลวง
เหนือ ใต้ ออก ตก

        เหนือ ใต้ ออก ตก ใกล้หรือไกลสุดขอบฟ้า กว่า ๖๐ ปี มากว่า  ๓,๐๐๐ โครงการเพื่อ ๖๐ ล้านกว่าชีวิต ทรงอุทศพระวรกาย เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนของพระองค์

ทุกข์ร้อนหนาวเหน็บ

        ทุกข์ พระองค์ทรงทุกข์ยิ่งกว่า ร้อนพระองค์ทรงร้อนยิ่งกว่า  หนาวพระองค์ทรงหนาวและเหน็บยิ่งกว่า เหนื่อยพระองค์ ทรงเหน็ดเหนื่อยยิ่งกว่า ตลอดระยะเวลากว่า ๖๐ ปี พระผู้ทรงเป็นแบบของข้าราชการ

สักครั้งหนึ่งในชีวิตของข้าราชการผู้สูญเสียการมองเห็น

        หากเป็นไปได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต ผมอยากสัมผัสพระองค์ ท่านได้ด้วยสายตา...(ความใฝ่ฝันของผู้สูญเสียการมองเห็น)

ข้าราชการผู้เรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาท

        พ่อ : “การบ้านเสร็จแล้วหรือลูก”
        ลูกชาย : “ยังครับผมจะดูการ์ตูนก่อน”
        ...........ภาพข่าวในพระราชสำนัก..........
        ลูกชาย : “ว้าการ์ตูนไม่มี พ่อๆ มาเล่นกับหนู”
        แม่ : “อย่ากวนพ่อสิลูก พ่อกำลังทำงาน”
        ลูกสาว : “ทำไมพ่อต้องทำงานหนักอย่างนี้ด้วย คนอื่นทำงานหนักอย่างพ่อไหม”
        พ่อ : “มีซิลูก ในหลวงทรงทำงานหนักเพื่อช่วยประชาชนทุกวันเลยลูก พ่อเป็นข้าราชการจึงต้องทำงานหนักเพื่อแบ่งเบาพระราชภาระของพระองค์”
        สนองเบื้องพระยุคลบาท เพื่อศักดิ์ศรีข้าราชการไทย

น้ำที่ให้ชีวิต

        แต่เล็กจนโตพ่อเคยบอกว่า ในหลวงคือน้ำ น้ำที่ให้ชีวิตแก่เราชาวไทยทุกคน น้ำที่เปี่ยมไปด้วยพระเมตตาและนำความชุ่มชื่นร่มเย็นมาสู่ปวงชนชาวไทย วันนี้ผมเข้าใจแล้วว่า ในหลวงท่านเป็นยิ่งกว่านั้น พระองค์คือพระผู้มีแต่ให้ ผมภูมิใจที่เกิดบนผืนแผ่นดินไทย    บุญของคนไทยที่มีในหลวง

เมื่อวันเกษียณอายุมาถึง

        “วัน นี้แล้วสินะ วันสุดท้ายของชีวิตข้าราชการ จำได้ดีตอนรับราชการใหม่ ๆใคร ๆ ก็บอกว่าเป็นข้าราชการสบาย เป็นเจ้าคนนายคนต่างกับการเป็นข้าราชการที่ทุ่มเทและเป็นที่พึ่งให้ชาวบ้าน ผมได้เรียนรู้แบบอย่างจากในหลวงที่ทรงงานหนักเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน แม้จะเหนื่อยแต่ก็สุขที่ได้ทำ เป็นข้าราชการยังมีวันพักแต่ในหลวงจะไม่ทรงหยุดพักตราบใดที่คนไทยยังต้องการ พระองค์”

เจ้าคนนายคน

        “ในที่สุดวันนี้ก็มา ถึง วันสุดท้ายในชีวิตข้าราชการอย่างที่ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจมาเกือบค่อนชีวิต ความทรงจำอันล้ำค่าสิ่งที่ผมยึดเป็นแนวทางและแรงบันดาลใจให้ผมก้าวไปทำงาน อีกครั้ง แม้จะเหนื่อยยากลำบาก การเป็นข้าราชการผู้เป็นที่พึ่งให้กับประชาชน ผมได้แบบอย่างการทำงานจากในหลวงทำให้ผมเข้าใจคำว่า  “เจ้าคนนายคนอย่างแท้จริง”

ตั้งปณิธาน

        “วัน ที่ผมดีใจที่สุดในชีวิต คือ วันที่ผมได้เฝ้าในหลวงเป็นครั้งแรก ผมเห็นพระองค์และสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิกรตลอดมา ผมจึงตั้งปณิธานเอาไว้ว่า เมื่อโตขึ้นผมจะรับราชการเพื่อรับใช้ประชาชนที่พระองค์ทรงห่วยใย ทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติและส่วนรวมอย่างสุดความสามารถ และที่สำคัญที่สุดจะดำรงอยู่ในความสุจริตเพื่อช่วยแบ่งเบาพระราชภารกิจของ พระองค์ลงบ้าง อันเป็นการสนองพระมหากรุณาธิคุณให้สมกับที่เป็นบุญของผมและคนไทยทั้งประเทศ ที่มีในหลวง”

ครูบ้านนอก

        ----นักเรียนเข้าแถวร้องเพลงชาติ----
        เด็กนักเรียนหญิง : “คุณครูบอกพวกเราว่า การเป็นคนดีต้องรู้จักให้ความรักและเสียสละต่อผู้อื่น มีความซื่อสัตย์ไม่คดโกง”
        ----ในห้องเรียน----
        นักเรียนหญิง : “คุณครูคะ ต้นแบบของพวกเรา คือ คุณครูและต้นแบบของคุณครูคือใครคะ”
        คุณครูเงยหน้ามองไปยังพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เหนือกระดานดำหน้าชั้นเรียน
        นักเรียนหญิง : “บุญของพวกเราที่มีคุณครู บุญของคนไทยที่มีในหลวง”

ในหลวงต้นแบบของคนไทยทั้งแผ่นดิน
ปูชนียบุคคลผู้เดินตามรอยพระยุคลบาท
ศาสตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์ 

        ผู้ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญนับตั้งแต่ประธานศาลฎีกา นายกรัฐมนตรีและประธานองค์มนตรีข้าราชการ ไทยผู้เดินตามพระยุคลบาท  อาจกล่าวได้ว่าในช่วง ๙ ทศวรรษที่ผ่านมาของประเทศไทย ปูชนียบุคคลท่านนี้สามารถก้าวสู่ตำแหน่งสูงสุดเพื่อรับใช้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ด้วย การทำความดีและการเป็นคนดี

น.พ.จักรธรรม ธรรมศักดิ์

        “คุณลักษณะ สำคัญ ๒ ประการ ที่น่าจะเป็นเหตุที่ทำให้คุณพ่อมีเกียรติยศ มีชื่อเสียง ประสบความสำร็จและเจริญก้าวหน้าคือเรื่องของการใฝ่หาความรู้ และประพฤติดี ท่านพูดถึงความประพฤติดีว่า หมายถึง ความไม่ผิดศีลธรรม ไม่ผิดกฎหมาย ข้าราชการจะต้องมีความรู้ดี มีความสุจริตในธรรม และมีกุศโลบาย คือ มีวิธีการอันแยบคาย คงจะไม่ผิดถ้าจะกล่าวว่าตลอดเวลาที่คุณพ่อรับราชการมา 70 กว่าปีตั้งแต่ 19 ปี ท่านได้ยึดมั่นในแนวพระบรมราโชวาทโดยน้อมนำใส่เกล้าฯ มาเป็นสิ่งที่ปฏิบัติทั้งแก่ตนเอง และแก่ลูกหลาน ญาติมิตรตลอดมา”

        ปูชนียบุคคล ผู้เดินตามรอยพระยุคลบาทภารกิจของศาสตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์ ในตำแหน่งสำคัญตามอำนาจอธิปไตยและตำแหน่งสำคัญอื่นๆ สามารถสำเร็จลงได้ก็ด้วยการเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาท

        “ผม จำได้ว่าในปี ๒๕๓๔ ปีที่คุณพ่อมีอายุครบ ๘๔ ปี คุณพ่อได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯให้เข้าเฝ้าพระราชทานน้ำสังข์ เมื่อรับพระราชทานน้ำสังข์แล้วคุณพ่อขอพระราชทานพร พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานธรรมะแก่คุณพ่อ พระราชทานว่าธรรมะนี่ต้องปฎิบัติจริงไม่ใช่แค่รู้ ต้องเข้าใจหลักการพระองค์พระราชทานธรรมะที่กี่ยวกับสติปฐาน ๔ และการวิปัสสนา ผมจำได้ว่าทรงเน้นเรื่องที่สำคญที่สุด คือ ต้องปฎิบัติจริง ไม่ใช่รู้เฉย ๆ คุณพ่อได้ยึดธรรมะที่พระราชทานในโอกาสนั้นใส่เกล้าฯ นำมาทบทวน นำมาปฎิบัติ นำมาเล่าให้ญาติมิตรลูกหลานฟังเสมอมา ท่านเชื่อว่าการปฎิบัติธรรม เป็นรากฐานสำคัญที่ดีที่สุดที่จะทำให้คนเราประพฤติดี ซึ่งก็คือ การคิดดี พูดดี ทำดี”

ศาสตราจารย์ ธานินทร์ กรัยวิเชียร  ผู้ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี และองคมนตรี

        มีบุคลิกเยือกเย็น สุภาพอ่อนโยน ยึดมั่นในระเบียบวินัย กฎหมายและเชื่อมั่นในอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย ท่านองคมนตรี ข้าราชการไทยอีกคนหนึ่งที่ได้เรียนรุ้ตามรอยพระยุคลบาทซึ่งการเรียนรู้ตาม รอยพระยุคลบาททำให้คนไทยได้มีสติในเรื่องหลักของการดำเนินชีวิต

        “พระราชดำริในพระบาทสเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกี่ยวกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงนั้น เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่เฉพาะจะนำมากำหนดนโยบายในการบริหารแผ่นดินเท่านั้น หากแต่เหมาะสมให้บุคคลทั่วไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันด้วยปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงนี้แต่ละคนก็แสวงหาเฉพาะสิ่งที่จำเป็นในการครองชีวิต เพื่อให้มีความสุขตามสมควรแก่อัตภาพ อนึ่งปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงนี้ อาจจะใช้ป้องกันการฉ้อราษฎร์บังหลวงได้ในระดับหนึ่ง การฉ้อราษฎรบังหลวงเกิดขึ้นก็เพราะผู้คนทั้งหลายมีความต้องการโดยไม่มี ที่สุดและก็ไม่ได้ทำให้บุคคลใดมีความสุขขึ้นมา ถ้าหากว่าเราจะตัดความต้องการที่ไม่มีสิ้นสุดนี้โดยแต่ละคนพอใจแสวงหาแต่ สิ่งที่จำเป็นในการครองชีวิตแล้ว เราก็จะมีความสุขตามที่เราปรารถนาสังคมเราก็จะปราศจากการฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือมีการฉ้อราษฎร์บังหลวงน้อยลงเป็นอันดับ”

พลังของแผ่นดิน

        จาก ชีวิตข้าราชการที่ประสบความสำร็จอย่างสูง ในวิชาชีพกฎหมาย ผู้นำสูงสุดของประชาชนจนถึงภาระหน้าที่ในงานถวายความเห็นและรับใช้ใต้เบื้อง พระยุคลบาท

        “สิ่งที่ประทับใจผมอย่างยิ่งเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ได้แก่ การมีน้ำพระราชหฤทัยอันเด็ดเดี่ยวและมั่นคงในการแก้ปัญหาสำคัญของชาติในยาม ที่ประทศไทยถูกภัยจากคอมมิวนิสต์คุกคามทั้งจากภายนอกประเทศและในประเทศ และในยามที่กัมพูชา เวียดนามและลาวถูกตีแตกไปแล้วนั้น ฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็มุ่งมั่นที่จะยึดครองประเทศไทยให้ได้ในฐานะที่เป็นโดมิโน ตัวสุดท้าย ในช่วงเวลานั้นเอง เพลงพระราชนิพนธ์เราสู้ก็ดังกึกก้องกังวานขึ้นทั่วทุกหนแห่ง ทุกเช้าค่ำวันคืน เพื่อเตือนใจประชาช?

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ คุณสามารถเลือกตั้งค่าความยินยอมการใช้คุกกี้ได้ โดยคลิก "การตั้งค่าคุกกี้" นโยบายความเป็นส่วนตัว

การตั้งค่าคุกกี้